คนท้องทาเล็บได้ไหม ทาอย่างไรให้ปลอดภัย
ความสวยความงามกับผู้หญิงเป็นของที่คู่กัน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหน แม้กระทั่งตอนท้องคุณแม่บางคนชื่นชอบความสวยความงามอยู่แล้ว ตอนท้องจึงไม่สามารถปล่อยตัวเองให้แลดูทรุดโทรมไม่สวยได้ แต่สำหรับการทาเล็บนั้น ก็เป็นปัญหาที่คุณแม่หลายคนเกิดความสงสัยว่าทำได้หรือเปล่า และควรทาอย่างไรให้ปลอดภัย ซึ่งเราก็มีข้อมูลมาให้คุณแม่ได้ทำความเข้าใจกันแล้ว
คนท้องทาเล็บได้ไหม
โดยปกติเวลาผู้หญิงท้องแพทย์จะแจ้งให้ระวังเรื่องสารเคมีที่เป็นอันตรายต่างๆ ที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง ยายืดผม ยาย้อมผม และยาทาเล็บก็มีสารเคมีอันตรายผสมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโทลูอีน ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือไดบูทิลพาธาเลต ซึ่งสารเคมีทั้งสามตัวนี้เป็นสารอันตรายสำหรับทารกในครรภ์ เพราะทำให้ทารกเกิดการพิการในครรภ์ได้ และยังส่งผลให้คุณแม่เสี่ยงมะเร็งอีกด้วย
แต่ถ้าต้องการทาจริงๆ ก็ต้องทาอย่างปลอดภัย
หากคุณแม่อยากจะทาเล็บจริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
1.เลือกยาทาเล็บที่ไม่มีสารเคมีอันตราย นอกจากสามตัวที่เราได้พูดถึงแล้ว อะซิโตนก็เป็นสารเคมีที่ทำให้เด็กในครรภ์ผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นเวลาเลือกซื้อยาทาเล็บก็ควรดูข้างขวดสักนิดว่ามีสารเหล่านี้หรือไม่
2.อย่าเป่ายาทาเล็บ หลายๆ คนมีนิสัยเมื่อทาเล็บเสร็จต้องใช้ปากเป่าให้แห้ง ซึ่งหากคุณกำลังตั้งครรภ์เสี่ยงอย่างมากกับการสูดดมสารเคมีเข้าไป ซึ่งจะทำให้เด็กในครรภ์ได้รับผลกระทบไปด้วย
3.อย่าอยู่ในห้องอับ หากต้องการทาจริงๆ ควรทาในที่ปลอดโปร่งอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะจะทำให้สารเคมีระเหยในอากาศได้ดี คุณเองก็ไม่ต้องมานั่งเป่าทำให้เสี่ยงสารเคมีเข้าร่างกายอีกต่างหาก หรือเป็นไปได้เมื่อทาครบแล้วก็อาจใช้พัดลมในการช่วยพัดให้สารเคมีระเหยไปได้ไวขึ้น แต่ต้องไม่ใช่การจ่อเข้าหน้าตัวเองนะต้องพัดให้ออกจากตัว เท่านั้น
4.หลังการทาเล็บต้องล้างมือให้สะอาด เมื่อจัดการทาเล็บเสร็จหรือล้างเล็บก็แล้วแต่คุณต้องล้างมือให้สะอาด ใช้น้ำสบู่อ่อนๆ ล้างให้นานสักหน่อย หรือจะใช้น้ำยาล้างสารเคมีในผักช่วยก็ได้ ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่าล้างสะอาดหมดจด และที่สำคัญคุณแม่ห้ามดมมือเด็ดขาด เพราะการที่ยังล้างไม่สะอาดดีแล้วดมมือก็ไม่ต่างอะไรกับการดมสารเคมีที่หลงเหลืออยู่เข้าร่างกายอยู่ดี
ดังนั้นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จึงสามารถทาเล็บได้หากทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และไม่ใช่แค่ยาทาเล็บแต่รวมถึงน้ำยาสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ทำผมก็ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยและตัวคุณแม่เอง
